"นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่เราเคยเผชิญมาเป็นเวลานาน แต่เป็นสถานการณ์ตึงเครียดระหว่าง 2 เป้าหมายหลักของเรา คืออัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมาย ในขณะที่ตลาดแรงงานยังคงซบเซา"
- นายพาวเวลกล่าว
โดยเขาอ้างถึงเหตุการณ์ "Stagflation" ที่เกิดขึ้นในทศวรรษที่ 1970 ซึ่งเป็นภาวะที่สหรัฐเผชิญกับอัตราว่างงานที่สูงมากและราคาสินค้าผู้บริโภคพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในการประชุมเมื่อวันที่ 22 ก.ย.ที่ผ่านมา คณะกรรมการเฟดได้ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในปี 2564-65 สู่ระดับ 4.2% และ 2.2% ตามลำดับ และปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์อัตราว่างงานในปี 2564 ขึ้นสู่ระดับ 4.8%
นายพาวเวลกล่าวว่า เฟดตั้งสมมุติฐานว่า อัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงเองเมื่อเศรษฐกิจทั่วโลกกลับสู่ภาวะปกติหลังจากมีการเปิดเศรษฐกิจ
แต่เมื่อผู้เข้าร่วมเสวนาตั้งคำถามว่า อะไรคือสิ่งที่เขากังวลมากที่สุดในเวลานี้ ซึ่งนายพาวเวลได้กล่าวถึงความเป็นไปได้ที่ 2 เป้าหมายหลักของเฟดจะเกิดการปะทะกัน คือการสร้างเสถียรภาพด้านราคาผู้บริโภค และการผลักดันให้มีการจ้างงานอย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวอาจผลักดันให้เฟดจำเป็นต้องยอมละทิ้งเป้าหมายทั้งสอง ด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อในช่วงเวลาที่เฟดยังคงสนับสนุนการขยายตัวด้านการจ้างงาน
"การบริหารจัดการเป้าหมายทั้งสองอย่างในช่วง 2 ปีข้างหน้านี้ ถือเป็นภารกิจที่สำคัญที่สุด และเป็นภารกิจที่ท้าทายมากที่สุดด้วยเช่นกัน"
นายพาวเวลกล่าวในงานเสวนาทางไกล โดยมีประธาน ECB, ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) เข้าร่วมด้วย
อ้างอิง Infoquest
#INFINOXก้าวแรกแห่งการลงทุนอย่างมืออาชีพ
*การซื้อขายทั้งหมดมีความเสี่ยง
*บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (และไม่ควรถือว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นๆ, INFINOX ไม่ได้รับอนุญาตให้คำแนะนำในการลงทุน ไม่มีความเห็นใดในเนื้อหาที่ถือว่าเป็นคำแนะนำจาก INFINOX หรือผู้เขียนบทความที่ถือว่าเป็นกลยุทธ์การลงทุน, การทำธุรกรรมหรือการลงทุนเฉพาะใด ๆ นั้นเหมาะสำหรับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะเท่านั้น