S&P 500 เป็นดัชนีที่ใช้กันเป็นหลัก (Dow Jones ล้าสมัยมากแล้วนะครับ) ในการติดตามสภาพความเป็นไปโดยรวมของตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยมีพื้นฐานและขึ้นอยู่กับราคาหุ้นของบริษัทที่ใหญ่ที่สุด 500 แห่งที่ทำการซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กหรือ NASDAQ


S&P 500 มักถูกยกย่องว่าเป็นตัวแทนของตลาดหุ้นและธุรกิจอเมริกันโดยรวม แต่นั่นไม่ใช่ความถูกต้องทั้งหมด แม้ว่า S&P 500 จะทำให้คุณได้สัมผัสกับกลุ่มเศรษฐกิจในวงกว้างได้เป็นอย่างดี แต่ก็มีการถ่วงน้ำหนักอย่างมากต่อมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด รวมถึงภาคส่วน และอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทราบ เพื่อการสร้างพอร์ตการลงทุนที่หลากหลาย


มูลค่าหลักทรัพย์ของตามนิยามของ S&P 500

จากการออกแบบ S&P 500 จะรวมเอาแต่เฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าตลาดมหาศาล (13.1 พันล้านดอลลาร์ขึ้นไป) เท่านั้น ลองนึกถึงบริษัทขนาดใหญ่ เช่น Apple, Microsoft, Amazon, Meta (เดิมคือ Facebook) และ Alphabet ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google อาจมีคนโต้แย้งว่า S&P 500 เป็นดัชนีที่ให้น้ำหนัก 100% กับบริษัทที่มีขนาดใหญ่เท่านั้น นั่นก็เท่ากับว่า S&P 500 อาจจะไม่ได้สะท้อนความเป็นจริงของสภาพตลาดโดยรวมของสหรัฐฯ ได้แบบ 100% ก็ตาม


สิ่งสำคัญคือต้องรู้ก็คือ ในขณะที่การลงทุนเน้นไปที่หุ้นในกลุ่ม S&P 500 สามารถให้ผลตอบแทนที่ดี แต่คุณอาจพลาดผลตอบแทนจากบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กได้ ซึ่ง หากคุณกำลังมองหาการลงทุนในบริษัทขนาดเล็ก - กลาง คุณควรพิจารณาการลงทุนที่ติดตามดัชนี S&P 400 ซึ่งประกอบด้วยบริษัทขนาดกลางชั้นนำ หรือดัชนี Russell 2000 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดเล็ก


Note: ธุรกิจที่มี Market Cap ขนาดเล็กมักมีความเสี่ยงมากกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ คุณควรตรวจสอบให้แน่ใจถึงระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของคุณ กับความผันผวนของบริษัทที่มีขนาดเล็ก


การถ่วงน้ำหนักกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ ของ S&P 500

ความพยายามในการกระจายพอร์ตหุ้นใด ๆ ของคุณควรหมายรวมถึงความพยายามในการกระจายความเสี่ยงตามกลุ่มอุตสาหกรรมด้วย อันที่จริง กลยุทธ์การลงทุนที่ชาญฉลาดส่วนใหญ่ก็จะเน้นไปที่สมดุลย์ในการลงทุนตามกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ ให้ครอบคลุมด้วย เพราะไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมใดๆ ก็สามารถเป็นกลุ่มที่มีผลงานดีที่สุดในปีได้ทั้งนั้น


ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ภาคส่วนและอุตสาหกรรมบางกลุ่มมีผลงานที่ดีกว่าภาคส่วนอื่นๆ และสะท้อนให้เห็นในภาพรวมของดัชนี S&P 500 ในทางตรงกันข้ามกลุ่มอุตสาหกรรมบางกลุ่มที่มีผลงานไม่ดี ก็อาจจะไม่แสดงออกมาให้เห็นเมื่อเราดูแค่เฉพาะดัชนี S&P 500 เช่นเดียวกัน


รายละเอียดและน้ำหนักของภาคส่วนต่างๆ ใน ​​S&P 500 มีดังนี้ 

(ตามข้อมูลเดือน พฤศจิกายน 2021)


  • Information technology: 27.9%
  • Health care: 13%
  • Consumer discretionary: 12.8%
  • Financials: 11.4%
  • Communication services: 10.8%
  • Industrials: 8%
  • Consumer staples: 5.6%
  • Energy: 2.9%
  • Real estate: 2.6%
  • Materials: 2.5%
  • Utilities: 2.4%


อย่างที่คุณเห็น S&P ถูกถ่วงน้ำหนักอย่างมากไปที่หุ้นเทคโนโลยี การดูแลสุขภาพ และหุ้นในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ในขณะเดียวกัน บริษัทสาธารณูปโภค บริษัทอสังหาริมทรัพย์ หรือบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและจำหน่ายวัตถุดิบ จะมีน้ำหนักไม่มากนัก


Note: น้ำหนักนี้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มองย้อนกลับไปเมื่อ 25 ปีที่แล้ว คุณจะเห็นบริษัทเทคโนโลยีน้อยกว่านี้มากและน้ำหนักจะไปถ่วงอยู่ที่ หุ้นในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและบริษัทด้านการสื่อสารมากขึ้น ย้อนไปเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ส่วนผสมจะดูแตกต่างมากกว่านี้อีก


ทำไมมันถึงสำคัญ

การถ่วงน้ำหนักของ S&P 500 ควรมีความสำคัญต่อคุณ เพราะดัชนีไม่ได้แสดงถึงประเภทบริษัทที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในปีใดก็ตามเสมอไป ตัวอย่างเช่น ในขณะที่หุ้นในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคอาจเป็นภาคที่มีผลการปฏิบัติงานสูงสุดในปี 2558 แต่กลับอยู่ในอันดับที่ 3 ในปี 2560 และอันดับที่ 7 ในปี 2562 ในขณะที่ภาคบริการด้านการสื่อสารเข้ามาอยู่ในอันดับสุดท้ายในปี 2560 หลังจากเคยอยู่ในอันดับที่ 2 เมื่อหนึ่งปีก่อน ท่ามกลางวิกฤตการเงินในปี 2550 และ 2551 ภาคการเงินเป็นภาคที่มีผลการดำเนินงานต่ำที่สุด แต่หุ้นในกลุ่มนี้เคยครองตำแหน่งสูงสุดในปี 2555 และมีผลดำเนินการได้ดีที่สุดเป็นอันดับ 3 ในปี 2562

การคาดการณ์ว่ากลุ่มอุตสาหกรรมใดจะทำผลงานได้ดีที่สุดในปีใด ๆ นั้นเป็นเรื่องยากมาก ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมการกระจายความเสี่ยงจึงเป็นกุญแจสำคัญสำหรับพอร์ตโฟลิโอที่แข็งแกร่ง


คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

กลุ่มอุตสาหกรรมได้มีความแข็งแกร่งที่สุดใน S&P 500 Index?

ภาคพลังงานทำผลงานได้ดีที่สุดถ้าวัดตามส่วนต่างโดยมีส่วนต่างกว้างที่สุดในปีที่ผ่านมา ภาคการเงินก็แข็งแกร่งเช่นกัน แม้ว่าจะอยู่ในระดับที่น้อยกว่า เช่นเดียวกับภาคเทคโนโลยีสารสนเทศ


*บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (และไม่ควรถือว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นๆ, INFINOX ไม่ได้รับอนุญาตให้คำแนะนำในการลงทุน ไม่มีความเห็นใดในเนื้อหาที่ถือว่าเป็นคำแนะนำจาก INFINOX หรือผู้เขียนบทความที่ถือว่าเป็นกลยุทธ์การลงทุน, การทำธุรกรรมหรือการลงทุนเฉพาะใด ๆ นั้นเหมาะสำหรับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะเท่านั้น