คุณอาจเคยได้ยินคำแนะนำให้ long หรือ short ในคำแนะนำสำหรับการซื้อขายอยู่บ่อยๆ ซึ่งทั้ง 2 คำนี้เป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นตลอดเวลาในการซื้อขาย ซึ่งทั้งคู่เกี่ยวข้องกับการซื้อหรือขายสินทรัพย์เพื่อหวังว่าจะทำกำไรได้เมื่อราคาสินทรัพย์เคลื่อนไปในทิศทางที่คาดไว้

ในฐานะนักลงทุน มีสถานะอยู่ 2 ประเภทที่คุณสามารถเลือกใช้ได้ — นั่นคือ long และ short โดยสถานะ long เป็นการใช้กลยุทธ์ในการซื้อสินทรัพย์เพื่อหวังที่จะขายสินทรัพย์นี้ออกไปในอนาคต เมื่อราคาสินทรัพย์นั้นปรับตัวสูงขึ้น

 ในขณะเดียวกัน การเปิดสถานะ short หมายถึงการที่คุณขอยืมสินทรัพย์ของคนอื่นมาเพื่อขายออกไปก่อน โดยหวังว่าราคาสินทรัพย์ที่ขายออกไปจะปรับตัวลดลง ซึ่งถ้าคุณอยากรู้ว่าคุณจะสามารถทำกำไรจากสิ่งนี้ได้อย่างไร หรือการเปิดสถานะ long และ short มีความแตกต่างกันอย่างไร เราจะมาค่อยๆอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้กับคุณ

 

บทความโดยสรุป:


  • เทรดเดอร์จะทำการเปิดสถานะ long เมื่อคาดว่าราคาสินทรัพย์จะปรับตัวสูงขึ้น ในขณะเดียวกัน จะเปิดสถานะ short เมื่อคาดว่าราคาสินทรัพย์จะปรับตัวลดลง
  • ทั้งสองกรณี ส่วนต่างระหว่างราคาที่ซื้อและราคาที่ขายจะกลายเป็นกำไรของเทรดเดอร์
  • ทั้งสถานะ long และ short สามารถเป็นส่วนหนึ่งในกลยุทธ์การซื้อขายของคุณ

 

รู้จักกับคำสั่ง Long และ Short ในการซื้อขาย

ในการซื้อขายรายวัน เทรดเดอร์มักเปิดสถานะ long ในสินทรัพย์ต่างๆ เช่น หุ้น หรือค่าเงิน เมื่อคาดการณ์ไว้ว่าราคาสินทรัพย์จะปรับตัวสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น คุณคาดว่าราคาของหุ้นตัวหนึ่งจะปรับตัวสูงขึ้น คุณจึงเปิดสถานะ long และจ่ายเงินซื้อหุ้นไปทั้งหมด 10,000 USD ในราคาหุ้นละ 10 USD

ต่อมา ราคาหุ้นดังกล่าวปรับตัวสูงขึ้นภายในวันขึ้นไปอยู่ที่ 10.50 USD ต่อหุ้น คุณจึงทำการขายหุ้นทั้งหมดออกไปรวมเป็นเงิน 10,500 USD เท่ากับว่าคุณได้กำไรก่อนหักค่าธรรมเนียมต่างๆ ทั้งหมด 500 USD สำหรับการเปิดสถานะ long ในครั้งนี้

ส่วนสถานะ short จะเป็นการที่คุณทำการ "ยืม" สินทรัพย์มาจากโบรกเกอร์เพื่อขายออกไปในตลาด โดยหวังว่าราคาสินทรัพย์ดังกล่าวจะปรับตัวลดลง และคุณจะสามารถซื้อสินทรัพย์นั้นมาคืนได้ในราคาต่ำกว่าตอนที่ขายออกไป ซึ่งส่วนต่างระหว่างราคาที่คุณขายออกไป และราคาที่คุณซื้อคืนจะเป็นกำไรของคุณ

ตัวอย่างเช่น คุณได้ทำการยืมหุ้น 1,000 หุ้นจากโบรกเกอร์ในราคาหุ้นละ 10 USD จากนั้นคุณได้ขายหุ้นออกไปให้นักลงทุนคนอื่น โดยคาดว่าราคาหุ้นตัวนั้นจะปรับตัวลดลงในอนาคต และเมื่อราคาหุ้นปรับตัวลดลงไปอยู่ที่ 9.60 USD คุณได้ตัดสินใจที่จะซื้อหุ้นคืนเป็นเงิน 9,600 USD ทำให้คุณได้กำไรทั้งหมด 400 USD ก่อนหักค่าธรรมเนียมต่างๆ

ความแตกต่างระหว่างสถานะ Long และ Short

เราจะมาเจาะลึกถึงรายละเอียดความแตกต่างระหว่างสถานะ long และ short:

  • สถานะ long เป็นการคาดว่าราคาของสินทรัพย์จะปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่สถานะ short เป็นการคาดว่าราคาสินทรัพย์จะปรับตัวลดลง
  • ด้วยการเปิดสถานะ long คุณได้กลายเป็นเจ้าของสินทรัพย์ ในขณะที่การเปิดสถานะ short จะเป็นการขายสินทรัพย์ที่คุณขอยืมมาจากโบรกเกอร์ คุณควรรับทราบว่า เมื่อคุณเปิดสถานะ short คุณไม่ได้ทำการซื้อสินทรัพย์ใดๆ มา แต่คุณกำลังขายสินทรัพย์ที่คุณไม่ได้เป็นเจ้าของ
  • โดยทั่วไปแล้ว การเปิดสถานะ short มักจะต้องกระทำโดยใช้บัญชีซื้อขายที่รองรับการใช้มาร์จิน
  • เทรดเดอร์ที่ทำการเปิดสถานะ long ในหุ้นมีสิทธิ์ที่จะได้รับเงินปันผลจากหุ้นนั้น ในขณะที่เทรดเดอร์ที่เปิดสถานะ short จะต้องจ่ายเงินปันผลให้กับเจ้าของหุ้นที่เทรดเดอร์คนนั้นได้ทำการขอยืมหุ้นมา

การใช้สถานะ long และ short ในการซื้อขาย

คุณสามารถใช้ทั้งสถานะ long และ short ในกลยุทธ์การซื้อขายของคุณ โดยคุณจะเปิด long ในกรณีที่คุณคาดว่าราคาสินทรัพย์จะปรับตัวสูงขึ้น แต่หากคุณคาดว่าราคาสินทรัพย์จะปรับตัวลง คุณควรเปิดสถานะ short หรือในกรณีที่เทรดเดอร์คนใดต้องการจะเป็นเจ้าของสินทรัพย์ ก็จะต้องเปิดสถานะ long

ในขณะเดียวกัน การ short สินทรัพย์ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ใช้บริหารความเสี่ยง โดยการเปิดสถานะที่ตรงข้ามกันในสินทรัพย์ตัวเดียวกันอาจช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรจากการซื้อขาย

แต่ในขณะเดียวกัน การ short สินทรัพย์ก็เป็นกลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง และอาจทำให้คุณประสบกับการขาดทุนก้อนใหญ่ได้ ดังนั้นก่อนที่คุณจะทำการซื้อขาย คุณควรทำการวิเคราะห์สินทรัพย์ และมีแผนการซื้อขายที่รัดกุมเสมอ รวมถึงซื้อขายกับโบรกเกอร์ที่เชื่อถือได้เท่านั้น และที่สำคัญที่สุด คุณควรพิจารณาความเป็นไปได้ในการทำกำไรจากทั้งสถานะ long และ short รวมถึงโอกาสการขาดทุนที่เพิ่มขึ้นเสมอ ก่อนที่คุณจะเริ่มทำการเทรดครั้งต่อไป


*บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการให้ข้อมูลเท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็น (และไม่ควรถือว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นๆ, INFINOX ไม่ได้รับอนุญาตให้คำแนะนำในการลงทุน ไม่มีความเห็นใดในเนื้อหาที่ถือว่าเป็นคำแนะนำจาก INFINOX หรือผู้เขียนบทความที่ถือว่าเป็นกลยุทธ์การลงทุน, การทำธุรกรรมหรือการลงทุนเฉพาะใด ๆ นั้นเหมาะสำหรับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะเท่านั้น